การดำเนินคดี ของ เซโตะ ซากากิบาระ

วันที่ 28 มิถุนายน 2540 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเด็กชายอายุสิบสี่ปีซึ่งเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นคนหนึ่งในเมืองโคเบะ เรียกเขาว่า "เด็กชายเอ"[1] เจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนพฤติกรรมของเด็กชายเอแล้วทราบว่า ตั้งแต่ครั้งเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา เด็กชายเอหัดพกพาของมีคมโดยเขียนไว้ในอนุทินว่า "ผมจะหายหงุดหงิดเวลาได้ถือมีดยังชีพหรือได้ควงกรรไกรอย่างควงปืน" ครั้นอายุได้สิบสองปี เขาเริ่มทรมานสัตว์อย่างสาหัส เป็นต้นว่า เรียงกบไว้บนถนนแล้วขับรถจักรยานทับ เฉือนอวัยวะแมว และตัดศีรษะนกพิราบ ต่อมาวันที่ 16 มีนาคม 2531 เขาบันทึกลงอนุทินว่า "วันนี้ ผมทดลองของสูงดู จะได้รู้ว่ามนุษย์เราอ่อนปวกเปียกแค่ไหน...ตอนเด็กหญิงคนนั้นเงยหน้ามองมาที่ผม ผมก็ทิ้งค้อนลงไป ผมว่าผมทิ้งลงไปโดนเธอสองสามครั้งนะ แต่มันตื่นเต้นเสียจนจำไม่ได้แล้ว" ลุวันที่ 23 มีนาคม เขาเขียนลงอนุทินว่า "ตอนเช้าแม่ว่า 'น่าสงสารแม่หนูคนนั้นจัง คนที่โดนทำร้ายน่ะ ท่าจะตายเสียแล้ว' ดูท่าผมจะไม่โดนจับได้เสียด้วย...เรื่องนี้ต้องขอบคุณท่านบะโมะอิโดกิชิง (Bamoidōkishin) เลยครับ...คุ้มครองผมต่อไปด้วยนะครับ" จึงเชื่อว่าเขาเป็นคนร้ายฆ่าตัดศีรษะฮะเซะ[2]

เด็กชายเอรับสารภาพว่า เป็นคนร้ายฆ่าฮาเซะ โดยหมกศพส่วนที่เหลือไว้ในป่าหญ้าแห่งหนึ่ง กับได้ฆ่าอายากะ ยามาชิตะ (山下彩花) เด็กหญิงวัยสิบปี เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2540 และได้ทำร้ายเด็กหญิงคนอื่นอีกสามคนในเวลาไล่เลี่ยกันด้วย[1][2][3] อย่างไรก็ดี ผู้คนจำนวนหนึ่งซึ่งรวมถึงโชจิโร โกโต (Shōjirō Gotō) นักกฎหมายผู้มีประสบการณ์ทำคดีกล่าวหาเท็จมาหลายคดี และโนะบุโยะชิ อิวะตะ (Nobuyoshi Iwata) ผู้อำนวยการโรงเรียนของซะกะกิบะระ แสดงความเห็นว่า เด็กชายเอมิใช่คนร้ายจริง เจ้าพนักงานจับผิดคน ทั้งแถลงการณ์หลายฉบับของพนักงานสอบสวนยังขัดแย้งกันเองด้วย[1]

ระหว่างดำเนินคดีต่อเด็กชายเอนั้น ในวันที่ 1 มิถุนายน 2547 เกิดคดีทำนองเดียวกันอีกเรียก "คดีฆ่าปาดคอที่เมืองซาเซโบะ" (Sasebo slashing) โดยคนร้ายเป็นเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดปี ตั้งนามสมมติว่า "เด็กหญิงเอ" ฆ่าเด็กหญิงวัยสิบสองปีซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องถึงแก่ความตายในโรงเรียน เป็นเหตุให้สภานิติบัญญัติแห่งญี่ปุ่นแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาโดยลดอายุเด็กที่ต้องรับผิดทางอาญาจากสิบหกปีลงมาเป็นสิบสี่ปี[3]

วันที่ 11 มีนาคม 2547 กระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นสั่งให้ปล่อยเด็กชายเอ ซึ่งบัดนี้อายุได้ยี่สิบเอ็ดปี เป็นการชั่วคราว ต่อมาวันที่ 1 มกราคม 2548 จึงให้ปล่อยเขาเป็นการถาวร เป็นการปล่อยผู้ต้องหาคดีอาญาอุกฉกรรจ์ซึ่งที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อนในประเทศญี่ปุ่น จึงมีผู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง[4]